MORNING BRIEF:ภาวะตลาดต่างประเทศ..วันนี้

4 ม.ค. 2024

• ตลาดหุ้นสหรัฐปรับขึ้นในวันจันทร์ โดยได้รับแรงหนุนจากการพุ่งขึ้นอย่างต่อเนื่องของหุ้นกลุ่มเทคโนโลยี ในขณะที่ดัชนีหุ้นกลุ่มเซมิคอนดักเตอร์ของสหรัฐปิดบวกขึ้น 0.25% และสามารถทำสถิติสูงสุดใหม่ได้ในระหว่างวัน ส่วนหุ้นเอ็นวิเดียซึ่งเป็นบริษัทเทคโนโลยียักษ์ใหญ่ปรับขึ้น 0.3% และพุ่งขึ้นทำสถิติสูงสุดในวันจันทร์ด้วยเช่นกัน ทั้งนี้ นักลงทุนรอดูการรายงานผลประกอบการของบริษัทสหรัฐในช่วงนี้ ในขณะที่บริษัทเน็ตฟลิกซ์, เทสลา, แอบบอทท์ แลบอราทอรีส์, อินเทล และจอห์นสัน แอนด์ จอห์นสันจะรายงานผลประกอบการออกมาในสัปดาห์นี้ และบริษัทไมโครซอฟท์กับแอปเปิลจะรายงานผลประกอบการออกมาในสัปดาห์หน้า โดยนักวิเคราะห์คาดการณ์กันว่า ผลกำไรของบริษัทในดัชนี S&P 500 ของสหรัฐอาจปรับขึ้น 4.5% ในไตรมาส 4/2023 เมื่อเทียบรายปี, อาจปรับขึ้น 6.6% ในไตรมาส 1/2024, อาจปรับขึ้น 10.8% ในไตรมาส 2/2024, อาจปรับขึ้น 8.2% ในไตรมาส 3/2024 และอาจปรับขึ้น 17.9% ในไตรมาส 4/2024 เมื่อเทียบรายปี
• ดัชนีดอลลาร์สหรัฐเมื่อเทียบกับตะกร้าสกุลเงินขยับขึ้นเล็กน้อยในวันจันทร์ ในขณะที่นักลงทุนรอดูผลการประชุมกำหนดนโยบายของธนาคารกลางญี่ปุ่น ในวันที่ 22-23 ม.ค. และรอดูผลการประชุมกำหนดนโยบายของธนาคารกลางยุโรป ในวันที่ 25 ม.ค. โดยนักวิเคราะห์คาดว่า บีโอเจมีแนวโน้มที่จะคงนโยบายการเงินแบบผ่อนคลายมากเป็นพิเศษไว้ตามเดิมในการประชุมสัปดาห์นี้ หลังจากเกิดเหตุแผ่นดินไหวในชายฝั่งตะวันตกของญี่ปุ่นในวันปีใหม่ และหลังจากเจ้าหน้าที่บีโอเจแสดงความเห็นแบบสายพิราบในช่วงนี้ ทั้งนี้ นักลงทุนในตลาดสัญญาล่วงหน้าคาดว่า มีโอกาสราว 40% ที่ธนาคารกลางสหรัฐ จะปรับลดอัตราดอกเบี้ยลงในการประชุมวันที่ 19-20 มี.ค. โดยโอกาสดังกล่าวปรับลดลงจากระดับราว 80% ที่เคยคาดการณ์ไว้ในช่วงต้นปีนี้ นอกจากนี้ เทรดเดอร์ยังคาดการณ์กันในตอนนี้อีกด้วยว่า เฟดจะปรับลดอัตราดอกเบี้ยลง 5 ครั้ง ครั้งละ 0.25% ในปีนี้ หลังจากที่เคยคาดการณ์ไว้เมื่อ 2 สัปดาห์ก่อนว่า เฟดจะปรับลดอัตราดอกเบี้ยลง 6 ครั้งในปีนี้ 
  ดัชนีดอลลาร์เมื่อเทียบกับตะกร้าสกุลเงินอยู่ที่ 103.38 ในช่วงท้ายตลาดวันจันทร์ โดยแข็งค่าขึ้นจาก 103.23 ในช่วงท้ายตลาดวันศุกร์ โดยดัชนีดอลลาร์พุ่งขึ้นมาแล้วราว 1.8% จากช่วงต้นปีนี้ ในขณะที่นักลงทุนปรับลดการคาดการณ์เรื่องการปรับลดอัตราดอกเบี้ยของเฟดดอลลาร์/เยนอยู่ที่ 148.09 เยนในช่วงท้ายตลาดวันจันทร์ โดยขยับลงจากระดับปิดตลาดวันศุกร์ที่ 148.14 เยน หลังจากดิ่งลงแตะจุดต่ำสุดของวันที่ 147.61 เยน โดยก่อนหน้านี้ดอลลาร์/เยนเพิ่งพุ่งขึ้นแตะจุดสูงสุดรอบ 1 เดือนที่ 148.80 เยนในวันศุกร์ และพุ่งขึ้นมาแล้วราว 5% จากช่วงต้นปีนี้ หลังจากดิ่งลงแตะจุดต่ำสุดรอบ 5 เดือนที่ 140.24 เยนในวันที่ 28 ธ.ค.ยูโร/ดอลลาร์อยู่ที่ 1.0881 ดอลลาร์ในช่วงท้ายวันจันทร์ โดยอ่อนค่าลงจาก 1.0897 ดอลลาร์ในช่วงท้ายวันศุกร์
• ราคาทองสปอตที่ตลาดสหรัฐร่วงลง 8.33 ดอลลาร์ สู่ 2,020.99 ดอลลาร์ต่อออนซ์ในช่วงท้ายตลาดวันจันทร์ ในขณะที่นักลงทุนปรับลดการคาดการณ์ที่ว่า ธนาคารกลางสหรัฐ จะเริ่มต้นปรับลดอัตราดอกเบี้ยในการประชุมวันที่ 19-20 มี.ค. นอกจากนี้ การพุ่งขึ้นของตลาดหุ้นก็ส่งผลให้นักลงทุนลดความต้องการซื้อทองในฐานะสินทรัพย์ปลอดภัยด้วย ทั้งนี้ เทรดเดอร์คาดการณ์ว่า มีโอกาสราว 41.6% ที่เฟดจะเริ่มต้นปรับลดอัตราดอกเบี้ยลงในเดือนมี.ค. โดยปรับลดลงจากโอกาสสูงกว่า 70% ที่เคยคาดไว้ในช่วงต้นสัปดาห์ที่แล้ว
• ราคาน้ำมันดิบในตลาดล่วงหน้า NYMEX พุ่งขึ้นในวันจันทร์ โดยได้รับแรงหนุนจากความกังวลเรื่องอุปทานพลังงานในตลาดโลก หลังจากยูเครนใช้โดรนโจมตีสถานีส่งออกเชื้อเพลิงของบริษัทโนวาเทคของรัสเซีย โดยสถานีส่งออกดังกล่าวตั้งอยู่ในอ่าวฟินแลนด์ริมทะเลบอลติก และตั้งอยู่ห่างจากนครเซนต์ปีเตอร์สเบิร์กไปทางทิศตะวันตกราว 170 กิโลเมตร โดยโนวาเทคประกาศในวันอาทิตย์ว่า ทางบริษัทจำเป็นต้องระงับการดำเนินงานบางส่วนในสถานีส่งออกเชื้อเพลิงแห่งนี้ ทั้งนี้ ราคาน้ำมันได้รับแรงหนุนจากภาวะอากาศหนาวจัดในสหรัฐ ซึ่งเป็นอุปสรรคขัดขวางการผลิตน้ำมันดิบในสหรัฐด้วย โดยสำนักงานท่อส่งน้ำมันของรัฐนอร์ธ ดาโกตาของสหรัฐรายงานว่า ภาวะอากาศหนาวจัดส่งผลให้มีการปิดกำลังการผลิตน้ำมันกว่า 20% ของรัฐนอร์ธ ดาโกตาในวันจันทร์ หรือมีการปิดกำลังการผลิตน้ำมันราว 250,000-300,000 บาร์เรลต่อวันในวันจันทร์ หลังจากที่มีการปิดกำลังการผลิตน้ำมันไปแล้วราว 350,000-400,000 บาร์เรลต่อวันในวันศุกร์ที่แล้ว โดยรัฐนอร์ธ ดาโกตาถือเป็นรัฐที่ผลิตน้ำมันมากเป็นอันดับ 3 ของสหรัฐ 
  ราคาน้ำมันดิบสหรัฐส่งมอบเดือนก.พ.ทะยานขึ้น 1.78 ดอลลาร์ หรือ 2.4% มาปิดตลาดที่ 75.19 ดอลลาร์ต่อบาร์เรล ในขณะที่สัญญาเดือนก.พ.ครบกำหนดส่งมอบในวันจันทร์ราคาน้ำมันดิบเบรนท์ส่งมอบเดือนมี.ค.ที่ตลาดกรุงลอนดอนพุ่งขึ้น 1.50 ดอลลาร์ หรือ 1.9% มาปิดตลาดที่ 80.06 ดอลลาร์ต่อบาร์เรล –จบ–
• Reuters