สหรัฐฯ เตรียมขยายบัญชีดำการเดินทาง สัญญาณสำคัญต่อเสถียรภาพทางภูมิรัฐศาสตร์
16 มิ.ย. 2025

การเคลื่อนไหวของทรัมป์กับนโยบายด้านความมั่นคง

เมื่อวันที่ 15 มิถุนายน 2025 มีรายงานว่า รัฐบาลสหรัฐฯ ภายใต้การนำของประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ กำลังอยู่ระหว่างการพิจารณาขยายมาตรการควบคุมการเดินทางเข้าสู่ประเทศอย่างมีนัยสำคัญ โดยอาจเพิ่มประเทศใน “บัญชีดำการเดินทาง” มากถึง 36 ประเทศ รวมถึงกัมพูชา ซึ่งการเคลื่อนไหวนี้สะท้อนแนวนโยบาย ความมั่นคงแห่งชาติ และการควบคุมคนเข้าเมืองที่เข้มข้นมากยิ่งขึ้น

เหตุผลของการคัดกรองประเทศ

จากข้อมูลในบันทึกทางการทูต สหรัฐฯ ให้เวลาแต่ละประเทศที่อยู่ในรายชื่อการพิจารณา 60 วัน เพื่อดำเนินการแก้ไขใน 3 ประเด็นหลัก ได้แก่

  • ความน่าเชื่อถือของเอกสารการเดินทาง

  • ความร่วมมือในการรับคนชาติกลับประเทศ

  • ประเด็นด้านความมั่นคงและการต่อต้านการก่อการร้าย

หากประเทศเหล่านั้นไม่สามารถปฏิบัติตามเกณฑ์ที่กำหนดได้ทันเวลา อาจถูกสหรัฐฯ ระงับการเดินทางเข้าสหรัฐฯ ทั้งหมดหรือบางส่วนในรูปแบบถาวรหรือชั่วคราว

สะท้อนแนวทางนโยบายสมัยทรัมป์

มาตรการล่าสุดนี้เป็นส่วนขยายจากคำสั่งก่อนหน้าเมื่อ 4 มิถุนายน ที่สหรัฐฯ ห้ามพลเมืองจาก 12 ประเทศ อาทิ อัฟกานิสถาน เมียนมา ชาด และลิเบีย เดินทางเข้าสหรัฐฯ ซึ่งมีลักษณะสอดคล้องกับนโยบายที่ทรัมป์ใช้ในวาระแรก โดยเฉพาะคำสั่งห้ามเดินทางของพลเมืองจาก 7 ชาติมุสลิมในปี 2017 ที่แม้จะเผชิญแรงต้านทางกฎหมาย แต่สุดท้ายก็ได้รับการรับรองจากศาลฎีกาในปี 2018

การพิจารณาเพิ่มรายชื่อในบัญชีดำล่าสุดนี้จึงตอกย้ำถึง “แนวทางแข็งกร้าวด้านความมั่นคง” ซึ่งยังคงเป็นหัวใจของนโยบายต่างประเทศในยุคทรัมป์อย่างต่อเนื่อง

ผลกระทบต่อเศรษฐกิจและการลงทุนระหว่างประเทศ

ความไม่แน่นอน = ความผันผวนในตลาด

การจำกัดการเดินทางระหว่างประเทศ โดยเฉพาะเมื่อมีประเทศเศรษฐกิจเกิดใหม่หรือประเทศคู่ค้าเข้าร่วมในบัญชีดำ อาจส่งผลให้เกิดความตึงเครียดทางการทูต กระทบต่อการเจรจาการค้าและการลงทุน รวมถึงแรงกดดันในตลาดเงินและตลาดทุน โดยเฉพาะในกลุ่มประเทศตลาดเกิดใหม่ (Emerging Markets)

ปัจจัยที่นักลงทุนควรจับตา

  • การตอบโต้เชิงนโยบายจากประเทศที่ได้รับผลกระทบ

  • ความเปลี่ยนแปลงของมูลค่าค่าเงินและการไหลออกของเงินทุน

  • ดัชนีความเชื่อมั่นผู้บริโภคและนักลงทุนในภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้

บทสรุป: บัญชีดำการเดินทางคือสัญญาณเตือนนักลงทุน

แม้จะดูเหมือนเป็นประเด็นการเมืองภายในของสหรัฐฯ แต่นโยบายด้านความมั่นคงเช่นนี้กลับมี ผลสะเทือนต่อภาพรวมเศรษฐกิจโลก การเฝ้าจับตาความเคลื่อนไหวทางนโยบายของรัฐบาลสหรัฐฯ โดยเฉพาะในช่วงก่อนการเลือกตั้งใหญ่ในปีหน้า จึงเป็นสิ่งที่นักลงทุนและนักวิเคราะห์ไม่ควรมองข้าม