10 หลักการลงทุนจากฟิลิป ฟิชเชอร์ ที่ยังใช้ได้ดีในยุคนี้
8 ส.ค. 2025

ฟิลิป ฟิชเชอร์คือใคร?

ฟิลิป อาเธอร์ ฟิชเชอร์ (Philip Arthur Fisher) คือหนึ่งในนักลงทุนระดับตำนานที่ได้รับการยกย่องอย่างสูงจากวงการการเงินทั่วโลก โดยเฉพาะจากวอร์เรน บัฟเฟตต์ ที่กล่าวว่า "ผมเป็นลูกผสมระหว่างเบนจามิน เกรแฮม 85% และฟิลิป ฟิชเชอร์ 15%" ฟิชเชอร์เป็นเจ้าของแนวคิด "Growth Investing" ที่เน้นการลงทุนในหุ้นของบริษัทที่มีศักยภาพเติบโตในระยะยาว ซึ่งแตกต่างจากแนวทางของเกรแฮมที่เน้น “มูลค่า” ในราคาถูก

หนึ่งในผลงานสำคัญที่เปลี่ยนโฉมแนวคิดการลงทุนคือหนังสือ “Common Stocks and Uncommon Profits” ที่ตีพิมพ์ในปี 1958 และยังคงมีอิทธิพลมหาศาลจนถึงปัจจุบัน

 


 

ทำไมหลักการของฟิชเชอร์ยังใช้ได้ดีในยุคนี้?

แม้ว่าฟิชเชอร์จะเสียชีวิตไปเมื่อปี 2004 แต่หลักการลงทุนของเขายัง “ไม่เคยตกยุค” เพราะเน้นการวิเคราะห์เชิงคุณภาพของธุรกิจ ซึ่งไม่ว่าเทคโนโลยีจะเปลี่ยนแปลงเร็วแค่ไหน ความสามารถของบริษัทในการเติบโตอย่างยั่งยืนก็ยังเป็นหัวใจสำคัญของการลงทุนที่ประสบความสำเร็จในระยะยาว

ในยุค AI, Big Data และเศรษฐกิจเปลี่ยนผ่าน หลายคนมองหากลยุทธ์ที่ “มั่นคง” และ “เข้าใจง่าย” ฟิชเชอร์จึงกลับมาได้รับความนิยมอีกครั้ง เพราะแนวคิดของเขาเน้นพื้นฐาน ไม่ตามกระแส และมองธุรกิจเป็นภาพรวม

 


 

หลักการลงทุนของฟิลิป ฟิชเชอร์

ต่อไปนี้คือ 10 หลักการลงทุนจากฟิลิป ฟิชเชอร์ ที่คุณสามารถนำไปปรับใช้ได้จริงในยุคปัจจุบัน:

 


 

ธุรกิจควรมีศักยภาพการเติบโตอย่างยั่งยืน

หนึ่งในหลักการที่ฟิชเชอร์เน้นมากคือ ธุรกิจต้องสามารถเติบโตได้ในระยะยาว ไม่ใช่แค่ “โตเร็ว” แต่ต้องโตอย่าง มั่นคง และ มีทิศทาง เช่น ธุรกิจที่มีเทคโนโลยีล้ำหน้า หรือตอบโจทย์เทรนด์ผู้บริโภคในระยะยาว เช่น พลังงานสะอาด เทคโนโลยี AI หรือสุขภาพ

เขาแนะนำให้เรามอง “วงจรชีวิตของธุรกิจ” และถามตัวเองว่า บริษัทนี้จะยังอยู่ในอีก 10-20 ปีข้างหน้าไหม?

 


 

การบริหารจัดการต้องเป็นเลิศ

ฟิชเชอร์ให้ความสำคัญกับทีมผู้บริหารอย่างมาก โดยมองว่า “วิสัยทัศน์และความสามารถของผู้นำ” คือสิ่งที่จะกำหนดทิศทางขององค์กร บริษัทที่ดีควรมีผู้บริหารที่โปร่งใส กล้าคิด กล้าตัดสินใจ และเปิดกว้างต่อการเปลี่ยนแปลง

เขาแนะนำให้นักลงทุนพูดคุยกับคู่ค้า พนักงาน หรือผู้เกี่ยวข้องกับบริษัทเพื่อประเมินลักษณะของผู้นำอย่างละเอียด

 


 

บริษัทควรมีการวิจัยและพัฒนา (R&D) อย่างต่อเนื่อง

ฟิชเชอร์ให้ความสำคัญกับ การคิดค้นนวัตกรรมใหม่ๆ เพราะในโลกของการแข่งขันสูง บริษัทที่ไม่มีการพัฒนาอาจถูกทิ้งไว้ข้างหลัง เขาเน้นให้มองว่างบประมาณในการวิจัยและพัฒนามีมากพอไหม และทีม R&D มีผลงานชัดเจนหรือไม่

หากบริษัทมองไกลและมีนวัตกรรมที่จับต้องได้ นั่นคือสัญญาณของ “หุ้นเติบโต” ที่ดี

 


 

กำไรต้องสม่ำเสมอและมีแนวโน้มเพิ่มขึ้น

ฟิชเชอร์มองว่า “กำไร” คือภาพสะท้อนสุขภาพของธุรกิจ เขาแนะนำให้พิจารณาผลกำไรย้อนหลังอย่างน้อย 5 ปีขึ้นไป และวิเคราะห์แนวโน้มว่าบริษัทสามารถรักษาอัตราการเติบโตของกำไรได้หรือไม่

บริษัทที่กำไรเติบโตสม่ำเสมอ มักจะสะท้อนถึงการบริหารจัดการที่มีประสิทธิภาพ และมีแนวโน้มเติบโตในอนาคต

 


 

การใช้กำไรอย่างมีประสิทธิภาพ

ฟิชเชอร์ไม่ได้มองแค่ตัวเลขกำไร แต่เขาให้ความสนใจกับ “วิธีใช้กำไร” เช่น บริษัทเอากำไรไปจ่ายปันผล หรือเอาไปลงทุนเพิ่ม? ฟิชเชอร์ชอบบริษัทที่ “นำกำไรไปต่อยอด” โดยเฉพาะการลงทุนกลับไปในกิจการ เพื่อเพิ่มศักยภาพระยะยาว

เขามองว่า บริษัทที่ใช้กำไรอย่างชาญฉลาด คือบริษัทที่ไม่ต้องพึ่งพาการเพิ่มทุนหรือการกู้ยืมมากเกินไป

 


 

บริษัทต้องมีมุมมองระยะยาว

หนึ่งในสิ่งที่ทำให้ฟิชเชอร์แตกต่างคือ แนวคิดการมองระยะไกล เขาไม่สนใจผลประกอบการระยะสั้น แต่จะประเมินว่าบริษัทมีแผนธุรกิจชัดเจนในอีก 5-10 ปีข้างหน้าหรือไม่

นักลงทุนควรดูว่าวิสัยทัศน์ของบริษัทนั้นสร้างคุณค่าในอนาคตได้จริงหรือเปล่า

 


 

หลีกเลี่ยงบริษัทที่บริหารไม่โปร่งใส

ฟิชเชอร์เตือนนักลงทุนให้ระวังบริษัทที่ “ดูดีเฉพาะในกระดาษ” แต่ขาดความโปร่งใส เช่น ไม่เปิดเผยข้อมูลที่จำเป็น หรือล่าช้าในการรายงานผลประกอบการ

เขาแนะนำให้ลงทุนในบริษัทที่มีธรรมาภิบาลดี มีการสื่อสารที่เปิดเผย และรับผิดชอบต่อผู้ถือหุ้น

 


 

วิเคราะห์ความสามารถในการแข่งขัน

ฟิชเชอร์ชอบบริษัทที่มี “ข้อได้เปรียบในการแข่งขัน” (Competitive Advantage) เช่น เทคโนโลยีล้ำหน้า แบรนด์แข็งแกร่ง หรือเครือข่ายจัดจำหน่ายครอบคลุม

เขามองว่า ถ้าบริษัทสามารถ “ตั้งกำแพง” ให้คู่แข่งเข้าถึงตลาดได้ยาก จะทำให้สามารถรักษากำไรและเติบโตได้ต่อเนื่อง

 


 

ควรพูดคุยกับพนักงานและคู่ค้า (Scuttlebutt Method)

หนึ่งในวิธีวิเคราะห์ที่เป็นเอกลักษณ์ของฟิชเชอร์คือ Scuttlebutt Method หรือ “การสืบข้อมูลจากภาคสนาม” เช่น พูดคุยกับลูกค้า ผู้ขาย พนักงาน หรือแม้แต่คู่แข่ง เพื่อเข้าใจธุรกิจแบบเจาะลึก

วิธีนี้ช่วยให้นักลงทุนได้ข้อมูลที่ ไม่ปรากฏในงบการเงิน และสามารถตัดสินใจได้อย่างมั่นใจยิ่งขึ้น

 


 

ซื้อแล้วถือยาว

หลักการสุดท้ายที่เป็นหัวใจของฟิชเชอร์คือ “Buy and Hold” หรือการลงทุนระยะยาวในหุ้นที่ผ่านการวิเคราะห์มาอย่างดีแล้ว เขาเชื่อว่าเมื่อเจอบริษัทดีๆ แล้ว ควรถือไว้ให้นานที่สุด เพื่อให้เกิด “ดอกผลจากเวลา” หรือที่เรารู้จักกันดีในชื่อ “อัตราทบต้น”

เขาไม่สนใจการเทรดรายวัน หรือจังหวะสั้นๆ เพราะมองว่านั่นคือเกมของโชค ไม่ใช่ของความรู้

 

เปรียบเทียบแนวทางของฟิชเชอร์กับบัฟเฟตต์

แม้ว่า Warren Buffett จะขึ้นชื่อเรื่อง “Value Investing” แต่เขากลับกล่าวว่า ได้รับอิทธิพลจาก Philip Fisher ไม่น้อย โดยเฉพาะแนวคิดที่ว่า “ถ้าบริษัทดีจริง ราคาที่ซื้อไม่ใช่ประเด็น”

บัฟเฟตต์เคยเน้นการซื้อ “หุ้นถูก” ตามแนวทางของ Benjamin Graham แต่หลังจากเรียนรู้แนวคิดการลงทุนในหุ้นเติบโต เขาจึงเริ่มซื้อหุ้นคุณภาพดีแม้ราคาไม่ถูก และถือครองระยะยาว เช่น Coca-Cola หรือ Apple ซึ่งสะท้อนแนวทางของฟิชเชอร์อย่างชัดเจน

 


 

ตัวอย่างหุ้นที่เติบโตตามแนวคิดฟิชเชอร์

บริษัทที่มีคุณสมบัติสอดคล้องกับหลักการของฟิชเชอร์ในยุคนี้ ได้แก่:

  • Apple Inc. – นวัตกรรมต่อเนื่อง กำไรสม่ำเสมอ บริหารยอดเยี่ยม

  • Alphabet (Google) – การวิจัยและพัฒนาอันดับต้นๆ ของโลก

  • Microsoft – กลยุทธ์ระยะยาวและความสามารถในการแข่งขันสูง

  • Tesla – แม้จะผันผวน แต่มีการลงทุน R&D สูงและวิสัยทัศน์ชัดเจน

 


 

ความสำคัญของการวิเคราะห์เชิงคุณภาพ

ฟิชเชอร์เน้นว่า “ตัวเลข” เป็นเพียงครึ่งหนึ่งของเรื่องราว อีกครึ่งหนึ่งคือ “คุณภาพของธุรกิจ” เช่น:

  • ความพึงพอใจของลูกค้า

  • แรงบันดาลใจของพนักงาน

  • การตอบสนองต่อการเปลี่ยนแปลง

  • ความสามารถในการคิดนอกกรอบ

การวิเคราะห์เชิงคุณภาพนี้เองคือสิ่งที่ทำให้เขาแตกต่างจากนักลงทุนทั่วไป

 


 

ข้อผิดพลาดของนักลงทุนมือใหม่เมื่อใช้แนวทางฟิชเชอร์

แม้หลักการของฟิชเชอร์จะชัดเจน แต่หลายคนกลับ เข้าใจผิดหรือใช้ผิด เช่น:

  • คิดว่าทุกบริษัทที่โตเร็วคือหุ้นเติบโต

  • ไม่ศึกษาเชิงลึกพอแล้วซื้อทันที

  • มองเพียงงบการเงินโดยไม่ใช้ Scuttlebutt Method

  • ขาดความอดทนในการถือยาว

การนำแนวทางฟิชเชอร์มาใช้อย่างถูกต้อง ต้องใช้ “วิจารณญาณ” และ “ความละเอียด” เป็นพิเศษ

 


 

ประโยชน์ของการถือหุ้นระยะยาวแบบฟิชเชอร์

การลงทุนระยะยาวช่วยให้:

  • ลดต้นทุนค่าธรรมเนียมและภาษี

  • ได้ประโยชน์จากอัตราทบต้น (Compound Interest)

  • ลดความเครียดจากความผันผวน

  • เข้าใจธุรกิจลึกขึ้นเพราะมีเวลาเรียนรู้

ฟิชเชอร์กล่าวว่า “หุ้นที่ดีไม่จำเป็นต้องขายเลย ถ้ามันยังดีอยู่”

 


 

วิธีฝึกแนวคิดแบบฟิชเชอร์ในชีวิตจริง

  • ศึกษารายงานประจำปีของบริษัทที่สนใจ

  • ถามคำถามกับลูกค้า พนักงาน หรือผู้เกี่ยวข้องกับบริษัท

  • อ่านบทวิเคราะห์ที่เจาะลึกเชิงคุณภาพ

  • ติดตามผู้บริหารและทิศทางบริษัทอย่างสม่ำเสมอ

 


 

ฟิชเชอร์กับมุมมองต่อความผันผวนของตลาด

เขาไม่ได้ให้ความสำคัญกับ “ตลาดขึ้นหรือลง” ในระยะสั้น แต่กลับเน้นความสามารถของบริษัทใน “การเติบโตท่ามกลางความผันผวน” ดังนั้น เขาจึงมองว่า “อย่าตัดสินธุรกิจจากราคาหุ้นในระยะสั้น”

 


 

หลักการจัดพอร์ตของฟิชเชอร์

เขาไม่ได้เน้นการกระจายมากนัก แต่เน้นการ “เลือกหุ้นที่มั่นใจสูง” และ ถือจำนวนจำกัด โดยเขาเคยถือหุ้นเพียงไม่กี่ตัว แต่ศึกษาอย่างละเอียดลึกซึ้ง ซึ่งเป็นวิธีการลงทุนแบบ “Focus Investing”

 


 

การวิเคราะห์เชิงลึกกับการอ่านงบการเงิน

ฟิชเชอร์แนะนำให้อ่านงบการเงินย้อนหลังหลายปี และดูแนวโน้มมากกว่าตัวเลขเดียว เช่น:

  • อัตรากำไรขั้นต้น

  • อัตราผลตอบแทนจากทุน (ROE)

  • อัตราการเติบโตของรายได้ต่อปี (CAGR)

  • อัตราส่วนหนี้สินต่อทุน

แต่งบการเงินไม่ใช่จุดจบ แต่เป็นจุดเริ่มต้นของการวิเคราะห์

 


 

การลงทุนในยุค AI และแนวคิดฟิชเชอร์

แม้ยุคเปลี่ยนไป แต่หลักการของฟิชเชอร์ยังใช้ได้กับธุรกิจ AI, SaaS หรือเทคโนโลยีต่างๆ ได้เป็นอย่างดี เพราะสิ่งสำคัญยังคือ:

  • วิสัยทัศน์

  • นวัตกรรม

  • การเติบโต

  • ความสามารถในการแข่งขัน

 


 

คำแนะนำสำหรับนักลงทุนรุ่นใหม่

  • อย่าเร่งรีบเก็บหุ้นทุกตัวที่ดูเหมือนเติบโต

  • ฝึกคิดในมุมของ “เจ้าของกิจการ” ไม่ใช่แค่เทรดเดอร์

  • หมั่นตั้งคำถาม: บริษัทนี้จะยังอยู่ใน 10 ปีข้างหน้าไหม?

 


 

คำพูดอมตะจากฟิลิป ฟิชเชอร์

“The stock market is filled with individuals who know the price of everything, but the value of nothing.”

"ตลาดหุ้นเต็มไปด้วยผู้คนที่รู้ราคาของทุกสิ่ง แต่ไม่รู้คุณค่าของสิ่งใดเลย"

 


 

ฟิชเชอร์กับแนวคิด ESG

แม้จะไม่ได้กล่าวตรงๆ ในสมัยของเขา แต่หลักการของฟิชเชอร์สอดคล้องกับ แนวทาง ESG (Environmental, Social, Governance) อย่างมาก เพราะเขาเน้นธุรกิจที่เติบโตอย่างยั่งยืน โปร่งใส และมีความรับผิดชอบต่อสังคม

 


 

บทเรียนจากหนังสือ Common Stocks and Uncommon Profits

หากจะอ่านแค่เล่มเดียวของฟิชเชอร์ ต้องเล่มนี้ เพราะอัดแน่นไปด้วย:

  • 15 จุดที่ควรประเมินก่อนซื้อหุ้น

  • วิธีวิเคราะห์ Scuttlebutt

  • กลยุทธ์ถือยาวอย่างแท้จริง

  • มุมมองนักลงทุนที่ไม่ตามกระแส

 


 

ความสำเร็จของลูกชาย Kenneth Fisher

ลูกชายของเขา Kenneth Fisher ก็เป็นนักลงทุนและนักเขียนชื่อดัง เขานำหลักการของพ่อมาต่อยอดผ่านหนังสือและการจัดการกองทุน Fisher Investments ที่บริหารเงินระดับแสนล้านดอลลาร์

 


 

สรุป 10 หลักการสู่ความมั่งคั่ง

  1. เลือกธุรกิจที่มีศักยภาพเติบโตระยะยาว

  2. ทีมบริหารต้องมีวิสัยทัศน์และโปร่งใส

  3. มีการวิจัยและพัฒนาอย่างต่อเนื่อง

  4. กำไรต้องเติบโตอย่างสม่ำเสมอ

  5. ใช้กำไรอย่างมีประสิทธิภาพ

  6. มองระยะยาว ไม่สนใจระยะสั้น

  7. หลีกเลี่ยงบริษัทที่ขาดธรรมาภิบาล

  8. วิเคราะห์ความได้เปรียบทางการแข่งขัน

  9. ใช้ Scuttlebutt Method หาข้อมูลเชิงลึก

  10. ถือยาวและอดทนในหุ้นที่มีคุณภาพ

 


 

สรุป

หลักการลงทุนของฟิลิป ฟิชเชอร์ ยังคงเป็นแนวทางที่ทรงพลังในโลกที่เต็มไปด้วยความไม่แน่นอน เพราะมันเน้นที่คุณภาพของธุรกิจ ความสามารถในการเติบโต และการถือหุ้นระยะยาวอย่างมีเป้าหมาย

หากคุณกำลังมองหาวิธีลงทุนที่มั่นคง เรียบง่าย และได้ผลในระยะยาว นี่คือหนึ่งในแนวทางที่ “ไม่ตกยุค” และยังเหมาะกับยุค AI และเศรษฐกิจใหม่อย่างยิ่ง

 


 

FAQs

ลงทุนแบบฟิชเชอร์เหมาะกับใคร?
เหมาะกับนักลงทุนระยะยาวที่ต้องการเติบโตจากการสะสมหุ้นคุณภาพ ไม่เหมาะกับนักเก็งกำไรระยะสั้น

แนวทางฟิชเชอร์ยังใช้ได้ในยุค AI ไหม?
ได้ 100% เพราะเน้นคุณภาพธุรกิจ ซึ่งไม่ขึ้นกับเทคโนโลยี แต่ขึ้นกับพื้นฐานการบริหาร

ฟิชเชอร์ถือหุ้นนานแค่ไหน?
บางตัวเขาถือหลายสิบปี เช่น หุ้นของ Motorola ที่เขาถือมากกว่า 20 ปี

จำเป็นต้องเข้าใจงบการเงินเชิงลึกไหม?
ควรเข้าใจเบื้องต้น แต่ให้ความสำคัญกับ “ปัจจัยคุณภาพ” มากกว่าตัวเลขเพียงอย่างเดียว

ลงทุนตามฟิชเชอร์ต้องซื้อหุ้นเทคโนโลยีเท่านั้นหรือไม่?
ไม่จำเป็น หุ้นในกลุ่มสุขภาพ พลังงาน หรือสินค้าอุปโภคบริโภคก็เข้าเกณฑ์ได้ หากมีคุณสมบัติตรง

มีหนังสือแนะนำไหม?
“Common Stocks and Uncommon Profits” โดย Philip Fisher คือหนังสือที่ต้องอ่าน